เกม เสี่ยงดวง และพฤติกรรมเสพติดในวัยเด็ก ผู้ใหญ่ควรกังวลแค่ไหน?

เกมเสี่ยงดวง-และพฤติกรรมเสพติดในวัยเด็ก

ในโลกดิจิทัลที่เด็กๆ ใช้เวลาอยู่กับเกมมากขึ้นทุกวัน หลายครอบครัวเริ่มสังเกตเห็นพฤติกรรมที่น่ากังวล เมื่อลูกหลานใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อ “กล่องสุ่ม” หรือ “กาชา” ในเกม บางครั้งถึงขั้นอดข้าวเพื่อเก็บเงินซื้อไอเทมในเกม หรือขอเงินพ่อแม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ผู้ปกครองหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า ระบบสุ่มในเกมเหล่านี้กำลังปลูกฝังพฤติกรรมอะไรให้กับลูกหลานของเราหรือไม่?

ทำความรู้จักกับระบบสุ่มในเกมยุคใหม่

ทำความรู้จักกับระบบสุ่มในเกมยุคใหม่

กล่องสุ่ม (Loot Box) และกาชา (Gacha) คืออะไร?

ระบบกล่องสุ่มและกาชาเป็นกลไกในเกมที่ผู้เล่นต้องจ่ายเงิน (จริงหรือเงินในเกม) เพื่อซื้อโอกาสในการสุ่มรับไอเทม ตัวละคร หรือของรางวัลต่างๆ โดยไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะได้อะไร คล้ายกับการซื้อลอตเตอรี่หรือเปิดซองการ์ดสะสม แต่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล

ตัวอย่างเกมที่มีระบบนี้ ได้แก่:

  • เกม MOBA อย่าง Mobile Legends, Arena of Valor ที่มีกล่องสุ่มสกิน
  • เกมแนว RPG อย่าง Genshin Impact, Honkai Star Rail ที่ใช้ระบบกาชาสุ่มตัวละคร
  • เกมกีฬาอย่าง FIFA, NBA 2K ที่มีการสุ่มการ์ดนักกีฬา
  • เกมยิงอย่าง PUBG Mobile, Free Fire ที่มีกล่องสุ่มชุดและอาวุธ

ความน่าดึงดูดของระบบสุ่ม

สิ่งที่ทำให้ระบบสุ่มน่าดึงดูดสำหรับเด็กๆ คือความรู้สึก “ลุ้น” และ “ตื่นเต้น” ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาระหว่างการกดสุ่มจนถึงการเปิดเผยผลลัพธ์ ความไม่แน่นอนนี้สร้างความคาดหวังและความหวังว่าครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งที่ “โชคดี” ได้ของหายากที่ต้องการ

จิตวิทยาเบื้องหลัง: ทำไมเด็กถึงติดการสุ่ม?

ทำไมเด็กถึงติดการสุ่ม

บทบาทของสารโดปามีน (Dopamine)

เมื่อเราทำกิจกรรมที่สร้างความพึงพอใจ สมองจะหลั่งสารโดปามีนซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกดี ความสุข และการเรียนรู้ ที่น่าสนใจคือ การ “คาดหวัง” รางวัลจะกระตุ้นการหลั่งโดปามีนได้มากกว่าการได้รับรางวัลจริงๆ เสียอีก

ในกรณีของระบบสุ่มในเกม สมองของเด็กจะหลั่งโดปามีนตั้งแต่ช่วงที่กำลังรอผลการสุ่ม ยิ่งถ้าได้ของหายาก ความรู้สึกดีจะยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่ได้ สมองจะกระตุ้นให้ลองใหม่เพื่อหวังผลลัพธ์ที่ดีกว่า

ตารางการเสริมแรงแบบอัตราส่วนไม่คงที่ (Variable Ratio Schedule)

นักจิตวิทยาพฤติกรรม B.F. Skinner ค้นพบว่าการให้รางวัลแบบสุ่มที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการสร้างพฤติกรรมซ้ำๆ ระบบสุ่มในเกมใช้หลักการนี้ โดยผู้เล่นไม่รู้ว่าต้องสุ่มกี่ครั้งถึงจะได้ของที่ต้องการ ทำให้เกิดพฤติกรรม “ลองอีกครั้ง” อย่างต่อเนื่อง

ความเสี่ยงสำหรับสมองที่กำลังพัฒนา

สมองของเด็กและวัยรุ่นยังอยู่ในช่วงพัฒนา โดยเฉพาะส่วน Prefrontal Cortex ที่ทำหน้าที่ควบคุมการตัดสินใจและยับยั้งชั่งใจ ซึ่งจะพัฒนาเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 25 ปี ทำให้เด็กมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ใหญ่ในการควบคุมพฤติกรรมการเล่นเกมแบบสุ่มโชค

ผลกระทบระยะยาวที่อาจเกิดขึ้น

การพัฒนาทักษะการควบคุมตนเอง

เด็กที่ใช้เวลามากกับระบบสุ่มในเกมอาจพัฒนาทักษะการควบคุมตนเองได้ช้ากว่าปกติ เนื่องจากติดกับความพึงพอใจแบบทันที (Instant Gratification) แทนที่จะเรียนรู้การรอคอยและวางแผนระยะยาว

ความเข้าใจเรื่องคุณค่าของเงิน

การใช้เงินซื้อโอกาสในการสุ่มอาจทำให้เด็กไม่เห็นคุณค่าที่แท้จริงของเงิน เพราะมุ่งเน้นไปที่ความตื่นเต้นจากการลุ้นมากกว่าการพิจารณาว่าสิ่งที่จะได้รับคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่

ความเสี่ยงต่อพฤติกรรมเสี่ยงโชคในอนาคต

แม้ว่าการเล่นเกมที่มีระบบสุ่มจะไม่ได้หมายความว่าเด็กทุกคนจะติดการพนันในอนาคต แต่การวิจัยพบว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างการสัมผัสกับกิจกรรมที่มีลักษณะคล้ายการพนันตั้งแต่เด็กกับความเสี่ยงในการมีปัญหาการพนันเมื่อโตขึ้น 👉 ดูตัวอย่างเว็บไซต์ที่มีระบบคล้ายกันในหมู่ผู้ใหญ่

สัญญาณเตือนที่ผู้ปกครองควรสังเกต

ผู้ปกครองควรเริ่มกังวลเมื่อพบสัญญาณเหล่านี้:

  • ใช้เวลากับเกมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเพื่อทำภารกิจที่ได้โอกาสสุ่ม
  • ขอเงินบ่อยขึ้นหรือใช้เงินเก็บทั้งหมดเพื่อซื้อไอเทมในเกม
  • แสดงอาการหงุดหงิดหรือโกรธเมื่อไม่ได้เล่นเกมหรือไม่ได้ของที่ต้องการจากการสุ่ม
  • พูดถึงเกมและการสุ่มของในเกมตลอดเวลา
  • ผลการเรียนตกลงหรือละเลยกิจกรรมอื่นๆ

แอบใช้บัตรเครดิตของผู้ปกครองหรือยืมเงินเพื่อนเพื่อซื้อไอเทมในเกม

แนวทางสำหรับผู้ปกครอง: สื่อสารอย่างไรให้ได้ผล

  1. สร้างความเข้าใจแทนการห้าม

แทนที่จะห้ามเล่นเกมอย่างเด็ดขาด ลองเริ่มจากการทำความเข้าใจว่าลูกชอบเกมนั้นเพราะอะไร มีอะไรในเกมที่ทำให้รู้สึกสนุก และทำไมถึงอยากได้ไอเทมจากการสุ่ม การแสดงความสนใจจะช่วยเปิดช่องทางการสื่อสารที่ดีขึ้น

  1. อธิบายกลไกการทำงานของระบบสุ่ม

ช่วยให้ลูกเข้าใจว่าระบบสุ่มในเกมถูกออกแบบมาอย่างไร อัตราการได้ของหายากต่ำแค่ไหน และบริษัทเกมหาเงินจากระบบนี้อย่างไร ใช้การคำนวณง่ายๆ เช่น “ถ้าโอกาสได้ตัวละครที่ต้องการคือ 1% นั่นหมายความว่าต้องสุ่ม 100 ครั้ง ซึ่งอาจต้องใช้เงินหลายพันบาท”

  1. ตั้งกติกาการใช้เงินร่วมกัน

กำหนดงบประมาณรายเดือนสำหรับเกม และให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าจะใช้เงินนั้นอย่างไร จะซื้อไอเทมโดยตรงหรือจะเสี่ยงกับการสุ่ม การให้ลูกตัดสินใจเองภายใต้ขอบเขตที่กำหนดจะช่วยฝึกทักษะการจัดการเงิน

  1. หากิจกรรมทางเลือกที่สร้างความท้าทาย

เด็กๆ มักชอบความท้าทายและการลุ้นผล ลองหากิจกรรมอื่นที่ให้ความรู้สึกคล้ายกันแต่ไม่เกี่ยวกับการใช้เงิน เช่น กีฬา งานอดิเรก หรือเกมที่ไม่มีระบบสุ่ม

  1. เป็นตัวอย่างที่ดี

ผู้ใหญ่ควรตรวจสอบพฤติกรรมของตนเองด้วย หากเราเองก็ใช้เวลามากกับการเสี่ยงโชคหรือเกมที่มีการสุ่ม การสอนลูกอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร

มุมมองที่สมดุล: ไม่ใช่ทุกอย่างจะแย่

สำคัญที่จะต้องเข้าใจว่าไม่ใช่เด็กทุกคนที่เล่นเกมมีระบบสุ่มจะมีปัญหา เด็กจำนวนมากสามารถเล่นเกมเหล่านี้ได้อย่างมีสติและไม่ใช้เงินเกินตัว นอกจากนี้ เกมยังมีด้านบวกหลายอย่าง เช่น การฝึกภาษา การวางแผน การทำงานเป็นทีม และการผ่อนคลาย

สิ่งสำคัญคือการหาจุดสมดุลและสอนให้เด็กมีทักษะในการจัดการกับสิ่งเย้ายวนเหล่านี้ มากกว่าการพยายามกันพวกเขาออกจากโลกดิจิทัลโดยสิ้นเชิง

บทสรุป: การเตรียมลูกหลานให้พร้อมสำหรับโลกดิจิทัล

ระบบสุ่มในเกมเป็นความท้าทายใหม่ที่ผู้ปกครองในยุคนี้ต้องเผชิญ แต่ด้วยความเข้าใจ การสื่อสารที่ดี และการวางกติกาที่เหมาะสม เราสามารถช่วยให้ลูกหลานเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักควบคุมตนเองและใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติได้

การห้ามอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบ แต่การสร้างความตระหนักรู้และทักษะในการจัดการกับสิ่งเย้ายวนต่างๆ จะเป็นเครื่องมือที่ติดตัวลูกหลานไปตลอดชีวิต ในโลกที่เต็มไปด้วยการตลาดและกลยุทธ์ต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจและเงินของเรา การมีภูมิคุ้มกันทางจิตใจจึงสำคัญยิ่งกว่าการหลีกเลี่ยง 👉 “ตัวอย่างบทความที่พูดถึงผลกระทบของเกมมือถือและการลุ้นโชค ดูเพิ่มเติม

สุดท้ายนี้ หากผู้ปกครองรู้สึกว่าลูกมีพฤติกรรมที่น่ากังวลมากหรือไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง การปรึกษานักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมเด็กและวัยรุ่นก็เป็นทางเลือกที่ควรพิจารณา เพื่อให้ลูกได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมก่อนที่ปัญหาจะลุกลามมากขึ้น

Scroll to Top